send link to app

ผูกปิ่นโตข้าว อำนาจเจริญ


4.8 ( 9008 ratings )
Estilo de vida Comida y bebidas
Desarrollador Tanabutr Buakaew
Libre

ผูกปิ่นโตข้าว อำนาจเจริญ

ผูกชีวิต ผูกหัวใจชาวนาและชาวเมืองให้เป็นหนึ่งด้วยข้าวไทย

โดยชาวนาจังหวัดอำนาจเจริญ และได้รับการสนับสนุนโดย พาณิชย์จังหวัดอำนาจเจริญ

แอพฯนี้ อยากเชิญชวนให้คนไทยทั้งประเทศ มาเป็นเจ้าสาว ผูกปิ่นโตข้าว เพื่อช่วยเหลือชาวนา สำหรับดูข้อมูลข่าวสาร และอัพเดทข้อมูลขึ้นบนชุมชนผูกปิ่นโตข้าว

โครงการนี้เกิดมาจากที่เราได้แรงบันดาลใจจากโรงเรียนปัญโญทัย

โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนทางเลือกแนวมนุษยปรัชญาค่ะ ไปในแนวธรรมชาติทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อนปีใหม่ของทุกปี เด็กๆ จะมาร่วมกันแสดงดนตรีไทย เครื่องสายฝรั่ง และร้องเพลงที่สนามหญ้าในโรงเรียน ถือเป็นการฉลองปีใหม่ร่วมกันแบบเรียบง่าย พ่อแม่นอกจากดูไปด้วยความชื่นใจก็จะได้ร่วมสมทบทุนไปด้วย เพราะเป็นการแสดงเปิดหมวก (หมวกใหญ่มาก เป็นกล่องเชลโล่เลย)

เมื่อวันงานปีใหม่ที่แล้ว หมอพร (ผู้อำนวยการโรงเรียน) เล่าให้ฟังว่า ปีก่อน โรงเรียนได้ทุนจากดนตรีเปิดหมวกมา 3 หมื่นกว่าบาท จึงเอาเงินจำนวนนี้ไปเป็นทุนทำนาที่จังหวัดบุรีรัมย์ คือมีที่นาร้างอยู่ผืนนึงที่คุณแม่ท่านนึงให้ไปใช้ประโยชน์ได้ โรงเรียนจ้างให้ชาวนาครอบครัวหนึ่งใช้ที่แปลงนี้ปลูกข้าวแบบไบโอไดนามิค (Biodynamic เกษตรชีวพลวัตร ค้นพบโดยรูดอล์ฟ สไตเนอร์ เมื่อปี 1924 ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับปรัชญาของโรงเรียน) ซึ่งมีคุณครูจอน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ดูแลให้อีกที

ความตั้งใจของโรงเรียนคือ ให้เด็กๆ ได้มีที่นาไปปลูกข้าว เพราะเด็กโรงเรียนนี้ต้องไปเข้าค่ายเรียนรู้การปลูกข้าวกันช่วงป.3 ป.4 ทุกคน และอีกอย่าง ครอบครัวของชุมชนโรงเรียนก็จะได้ทานข้าวที่ปลอดภัย มีพลังชีวิตมาก และภูมิใจกับข้าวที่ปลูกด้วยมือลูกหลานของเราเอง (ซึ่งจะหวานกว่าปกติ)

ผลผลิตที่ได้ ทางโรงเรียนก็รับซื้อจากชาวนาครอบครัวนี้มาทั้งหมด เอามาขายที่สหกรณ์โรงเรียน ขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่พอขาย ต้องขอจำกัดให้ครอบครัวละ 1 กิโลเท่านั้น เพราะได้ออกมาไม่มาก ทานแล้วทุกบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันอร่อยมาก หอมมาก นุ่มมาก

ในวันงานปีใหม่วันนั้น หมอพรบอกว่า ในละแวกที่นาแถวนั้น มีครอบครัวนี้ครอบครัวเดียวที่ได้เงินจากการขายข้าว นอกนั้น ไม่มีใครได้เงินเลย เพราะเอาไปเข้าโครงการจำนำข้าวหมด… ฟังแล้วดีใจแทนครอบครัวของเขา และขณะเดียวกันก็เศร้าใจกับชาวนาคนอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่โรงเรียนทำ มันทำให้เราเห็นความเป็นไปได้อะไรหลายอย่าง ที่มันจะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวนาในบ้านเราแตกต่างไป

มันจะเป็นอย่างไรคะ ถ้าเราจับคู่ ระหว่างครอบครัวคนในเมืองกับครอบครัวชาวนา หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการ “ผูกปิ่นโตข้าว”

แล้วเราขอให้เขาปลูกข้าวอินทรีย์หรือข้าวปลอดสาร แล้วเราสัญญาว่าเราจะรับซื้อทั้งหมด เอามาแบ่งกันกินในครอบครัว ในก๊วนแก๊งค์เพื่อนเรา เราและเขาจะสามารถพลิกคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ได้มากมายเลยทีเดียว

รายได้ – ชาวนารู้แน่ๆ ว่าขายข้าวได้ และน่าจะได้ราคาดีกว่าขายให้โรงสี เพราะถ้าเราพร้อมที่จะสนับสนุนเขา เราจะไม่กดราคาเขาเด็ดขาด แต่เราจะให้เขาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะยังไงเราก็ซื้อราคานี้จากตลาดหรือจากห้างอยู่แล้ว

ลดต้นทุน – การใช้สารธรรมชาติกำจัดศัตรูพืชและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ สามารถลดต้นทุนในการทำนาได้มากมาย ตัดวงจร “ขายข้าวได้เงินแล้วต้องเอามาซื้อปุ๋ยซื้อยาแพง” ไปได้ ชาวนาพึ่งพาตัวเองได้ วงจรการกู้หนี้ยืมสินสามารถหมดไปได้

คุณภาพชีวิต – เมื่อเขาได้เปิดให้ตัวเองปลูกข้าวแบบอินทรีย์ หรืออย่างน้อยก็แบบปลอดสาร ใช้สารธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืช จะทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น ปลอดภัย ห่างไกลสารเคมีทั้งครอบครัว เราเองก็ได้กินข้าวที่แน่ใจได้ว่าปลอดภัยด้วย

ลดช่องว่างระหว่างคนเมืองและคนชนบท – เมื่อเราผูกปิ่นโตกับเขา เราจะไม่ได้เป็นแค่คนรับซื้อข้าวของเขาเท่านั้น แต่มันเหมือนกับการที่เรารับเขาเข้ามาในชีวิตเราด้วย เราอาจจะอยากไปเยี่ยมเขา ไปปลูกข้าวเกี่ยวข้าวกับเขา ไปกางเต๊นท์นอนในนาบ้าง พาลูกๆ ไปดำนา หรือรวมรุ่นชวนกันไป “ลงแขกเกี่ยวข้าว” เหมือนที่เคยมีในอดีต (อันนี้กิจกรรมมากน้อยอยู่ที่แต่ละคนจะวางแผนนะคะ) เราจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน มุมมองอะไรที่คนเมืองอย่างเราหลงลืมไปแล้ว เราอาจจะได้กลับมาจากการอยู่กับเขา และสิ่งไหนที่เขาคนชนบทไม่เคยรู้มาก่อน เขาอาจจะได้รู้จากเรา เราไม่ได้ไปในฐานะที่เรารู้ดีกว่าหรือเราฉลาดกว่า แต่เราไปในฐานะเพื่อนที่เรียนรู้กันและกัน